เสมหะ ไม่ใช่เพราะคออักเสบหรือโรคหวัดเสมอไป

โดยปกติเมื่อมีเสมหะมาก เรามักจะรีบหายาละลายเสมหะทาน ยิ่งถ้ามีอาการเจ็บคอ ร้อนในด้วย ก็มักจะทานยาแก้อักเสบเข้าไปพร้อมกันเลยเพื่อบรรเทาอาการ อันที่จริง เสมหะไม่ได้เกิดจากการเป็นหวัดหรือคออักเสบเสมอไป วิธีการแก้ไขจึงต้องสังเกตจากอาการอื่นๆ ด้วย


อย่างกรณีของคุณยายสมร อายุ 72 ปี ที่เข้ามาพบหมอพร้อมลูกสาว ด้วยอาการมีเสมหะในลำคอมาก โดยจะมีลักษณะเหนียวข้นในเวลาเช้าและในตอนเย็นจะมีเสมหะใสๆ เป็นมาหลายปี กินยา อมยา ใช้สมุนไพรมาแล้วหลายอย่างก็ยังไม่หาย ทานยาจนขาของคุณยายบวมทั้ง 2 ข้าง จึงจำเป็นต้องลดยาแผนปัจจุบันลง แล้วทานฟ้าทะลายโจรควบคู่กันไปด้วย คาดว่าจะช่วยให้หายเจ็บคอและขับเสมหะได้ แต่ยิ่งทานก็ยิ่งมีเสมหะมากขึ้น จึงเพิ่มการทานยาจีนเข้าไปด้วย
สุดท้ายคุณยายหน้าซีดตัวเหลือง น้ำหนักลดมากจนต้องเข้าโรงพยาบาล หมอวินิจฉัยว่าทานยามากจนตับอักเสบ ต้องพักฟื้นกันอยู่เป็นปี แต่น้ำหนักของคุณยายสมรก็ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ภายใน 3 ปีจากน้ำหนัก 58 กิโลกรัม ลดเหลือแค่ 38 กิโลกรัม ที่จริงแล้ว การมีเสมหะมากเป็นแค่อาการเริ่มต้นเท่านั้น เพราะระหว่างรักษาอาการเสมหะในลำคอ ก็มีอาการท้องผูกบ่อยๆ ต้องทานไฟเบอร์ทุกวันเพื่อให้อุจจาระง่ายขึ้น ถ้าไม่ทานก็จะถ่าย 3 วัน 1 ครั้ง ไม่ค่อยกล้าทานผักหรือผลไม้  เพราะกลัวว่าจะทำให้มีเสมหะมากขึ้น จนเป็นโรคกลัวการทานอาหารไปด้วย  ทุกวันนี้พยายามทานเนื้อสัตว์น้อยลง ทำน้ำหมักชีวภาพทานเองหลังอาหารและก่อนนอน ซื้อเครื่องทำน้ำเต้าหู้มาทำดื่มเองที่บ้าน ชอบทานน้ำชาจีนบ่อยๆ มีเสมหะเมื่อไหร่ก็จะต้มน้ำตะไคร้ โหระพา หรือใบกระเพราดื่ม พอจะช่วยบรรเทาได้บ้าง
น่าเห็นใจคุณยายสมรที่ต้องทนทุกข์กับเสมหะเหนียวติดลำคอบ่อยๆ อาการที่หลายคนมองข้ามว่าแก้ไขง่าย ไม่ต้องไปใส่ใจเดี๋ยวมันก็คงหายเอง แต่อาการเสมหะมากไม่หายแบบนี้ ก็เพราะเหตุที่ในปอดมีความชื้น กระเพาะอาหารค่อนข้างเย็น จึงทำให้ลมร้อนที่อยู่ในลำไส้ของคุณยาย วิ่งขึ้นมาแทนที่ความเย็นในกระเพาะอาหารและปอด ออกทางปาก แต่ที่สำคัญ! มันไม่ได้ขึ้นมาแค่ลมน่ะสิ แต่ดันพาเอาน้ำเมือกในลำไส้ น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร มาผสมกับน้ำลายตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาที่คุณยายสมรนอนหลับ น้ำเมือกน้ำย่อยก็ค่อยๆ ขยับขึ้นมาถึงลำคอ เช้ามาจึงมีเสมหะที่มีลักษณะเหนียวข้นมากกว่าปกติ ขากจนเจ็บคอก็ไม่ยอมออกมาง่ายๆ  แถมมีกลิ่นไม่ค่อยจะดีเอาเสียด้วย
เสมหะในลำคอ
เสมหะประเภทนี้ไม่ได้เกิดจากการอักเสบหรือเป็นหวัดแต่อย่างใด ดังนั้นการใช้ยาหรือสมุนไพรแก้หวัด จึงไม่ได้ผลเสียที คุณยายสมรเคยได้ยินว่าฟ้าทะลายโจรแก้ไข้ขับเสมหะได้ดี ก็เลยหามาทาน เช้า เย็นทุกวัน “รสชาติขมมาก ของฟ้าทะลายโจรนั้น บ่งบอกถึง ฤทธิ์เย็น” ยิ่งเราเอาสมุนไพรฤทธิ์เย็นเข้าสู่ร่างกายมาก ปอดก็ยิ่งเย็น ม้ามชื้น กระเพาะอาหารเย็นเฉียบเข้าไปใหญ่ ทำให้คุณยายได้โรคกระเพาะอาหาร อาหารไม่ย่อย ท้องอืดบ่อยๆ ตามมาอีก อีกทั้งคุณยายต้องทานยาจีนที่เป็นน้ำปริมาณมากแต่ละมื้ออาหาร จนทำให้ไฟในกระเพาะอาหารดับมอดไปเสียหมด ลมร้อนที่พัดขึ้นมาจากลำไส้ทำให้คุณยายมีแผลในช่องปากบ่อยๆ และลิ้นกลายเป็นสีแดง เมื่อย่อยอาหารได้ไม่ดีร่างกายจึงผอมลงเรื่อยๆ ไม่มีเรี่ยวแรง จนน้ำหนักปัจจุบันเหลืออยู่แค่ 38 กิโลกรัม
ลักษณะอาการแบบนี้มักเจอในผู้สูงวัย 65 ปีขึ้นไป เพราะพลังหยางในร่างกายเหลือน้อยหรืออาจพบได้ในผู้ที่มีพฤติกรรมดังนี้
1. ชอบทานแต่ของเย็นๆ เช่น น้ำเย็น ไอศครีม นม ชาเย็น ชาเขียว
2. ชอบดื่มกาแฟก่อนอาหารเช้า ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง
3. ทานสมุนไพรโดยไม่เข้าใจภาวะร่างกายของตนเอง เช่น การทานสมุนไพรฤทธิ์เย็น เช่น ฟ้าทะลายโจร ใบย่านาง มะระขี้นก บอระเพ็ด เสลดพังพอน ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ดี แต่ทานมากเกินไปจนเกิดภาวะเย็นเกิน
4. นอนดึก และ ชอบนอนห้องแอร์เย็นฉ่ำ กลางวันก็ใช้ชีวิตอยู่ในห้องแอร์
5. ชอบดื่มน้ำเต้าหู้ (ฤทธิ์เย็น) มากเกินไป และดื่มผิดเวลา เช่น ดื่มก่อนนอน หรือก่อนมื้ออาหาร
6. ชอบทานผลไม้ฤทธิ์เย็นบ่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เช่น แก้วมังกร ส้ม แตงโม ฝรั่ง มะม่วงดิบ
วิธีที่จะช่วยละลายเสมหะ คือ หยุดการทานสมุนไพรฤทธิ์เย็นลงเสียก่อน หาสมุนไพรฤทธิ์ร้อนเช่น ขมิ้นชัน พริกไทยดำ ขิง กระชาย กระชายดำ ไพล มาทานก่อนอาหาร 10-15 นาที ทุกมื้อ เพื่อบำรุงกระเพาะอาหารและม้าม (แบบสด แคปซูลหรือลูกกลอนก็ได้) หรือสมุนไพรท้องถิ่นอื่นๆ ที่แนะนำ เช่น เจตพังคี เปล้าน้อย เปล้าตะวัน ลูกๆ คนใดหวังดีซื้อน้ำเต้าหู้มาให้คุณพ่อคุณแม่ทานก่อนนอนทุกวัน ก็แนะนำให้ซื้อเต้าฮวยน้ำขิงสลับกันบ้าง นี่เป็นเหตุผลที่เขาขายคู่กัน น้ำเต้าหู้ เต้าฮวยน้ำขิง บางร้านก็มีถั่วเขียวต้มน้ำตาลด้วย
และอีกวิธีที่ช่วยละลายเสมหะได้ดี ให้นำน้ำอุ่นผสมกับน้ำมะนาว เติมน้ำผึ้ง เกลือเล็กน้อยทานทุกเช้า จะช่วยให้เสมหะคลายความเหนียว ขับออกง่ายขึ้น  ตามร้านขายยาก็จะมียาแก้ไอละลายเสมหะมะแว้ง หรือมะขามป้อมที่ทานแล้วชุ่มคอ ลดเสมหะได้  เมื่อกระเพาะอาหารอุ่นขึ้น ม้ามหายชื้นแล้ว กระบวนการย่อยสลายอาหารก็จะสมบูรณ์ขึ้น การขับถ่ายก็จะสะดวกขึ้น ไม่ต้องไปทานไฟเบอร์หรือยาถ่ายบ่อยๆ น้ำหนักค่อยๆ เป็นปกติจากสารอาหารที่เราทานเข้าไป ลดอาการแสบร้อนลิ้นและปากลงได้เพราะไม่มีลมร้อนดันขึ้นมาจากลำไส้ เสมหะเหนียวๆ ก็หายไปได้ ไม่ต้องไปพึ่งแต่ยาเคมีให้ตับอักเสบ ไตเสื่อม ขาบวมอีกต่อไป

ที่มา :http://thearokaya.co.th/web/?p=3348
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ผู้ชมหน้านี้ :

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น