คนเราต้องการวิตามินอี วันละเท่าไหร่กัน

วิตามินอีมีคุณสมบัติบางอย่างที่ตรงข้ามกับวิตามินเคหากวิตามินเคช่วยในการทำให้เลือดแข็งตัวเฉพาะ
ตอนที่มีเลือดไหลออกมาจากร่างกายเท่านั้นแต่ถ้าเลือดเกิดการแข็งตัวภายในร่างกายสิ่งที่ตามมาอาจเป็นสิ่งที่คุณคาดไม่ถึงฉะนั้นเราจึงมีวิตามินอีเพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือดในร่างกายนอกจากนี้เรายังสามารถทานอาหารที่มีวิตามินอีได้ไม่ยากเพราะวิตามินอีมีอยู่ในผัก ผลไม้ต่างๆที่เรารู้จักกันดี

ในกรณีที่มีการผ่าตัดนั้นเราไม่ควรกินวิตามินอีรวมไปถึงอาหารที่มีวิตามินอีในปริมาณมากเพราะวิตามินอีจะต้านการแข็งตัวของเลือดลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด ถ้าหากเรากินวิตามินอีก่อนผ่าตัดจะทำให้เลือดของเราไหลไม่หยุด
ข้อแนะนำในการทานวิตามินอีนั้นในกรณีของผู้ที่ขาดวิตามินตัวนี้และอยากหาอาหารเสริมทีมีวิตามินอีขอแนะนำให้เปลี่ยนแนวทางเป็นการทานอาหารสลับกับพืชผักหรืออาหารที่มีวิตามินอีแทนการทานอาหารเสริมเพราะหากกินวิตามินอีมากเกินไปนั้นจะทำให้เกิดสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งไม่ดีต่อร่างกายของเราขึ้นชื่อว่าสารต้านอนุมูลอิสระแล้วจะทำให้เซลล์ต่างๆในร่างกายเสื่อมเร็วขึ้นและมีผลการวิจัยมาแล้วว่าการได้รับวิตามินอีมากเกินไปติดต่อกันอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งได้

วิตามินอีเป็นวิตามินเพื่อผิวสวย

สำหรับสาวๆที่มีผิวหน้าที่ดีอยู่แล้วไม่มันหรือหน้าแห้งวิตามินอีอาจไม่เป็นจำเป็นสำหรับคุณ แต่ถ้าหากคุณมีผิวแห้ง ใบหน้าไม่ชุ่มชื้นรู้สึกไม่ดีเวลาส่องกระจกในที่ทำงานแนะนำให้ทานวิตามินอีแต่ไม่ควรทานมากเกินไปเพราะอาจจะส่งผลเสียระยะยาวมากกว่าผลดีครับ
ที่นี้เราก็รู้ถึงคุณประโยชน์ของวิตามินอีกันแล้วและควรระวังในการทานไม่มากเกินไปอะไรที่มากเกินความจำเป็นร่างกายก็จะขับสารนั้นออกมารวมถึงวิตามินอีเช่นกัน แต่ออกมาในรูปอุจจาระมากกว่าปัสวะเพราะวิตามินอีนั้นไม่สามารถละลายในน้ำได้นั่นเองและทางที่ดีไม่ควรทานอาหารเสริมที่มีวิตามินอีเปลี่ยนมาทานผักและผลไม้กันดีกว่าครับเริ่มต้นที่ผลกีวีสักหนึ่งลูกก่อนก็ได้ครับ

คนเราต้องการวิตามินอี วันละเท่าใด

อายุ(ปี)
เด็ก (mg/day)
ชาย (mg/day)
หญิง(mg/day)
ตั้งครรภ์ (mg/day)
ให้นมบุตร (mg/day)
1-3
6 mg (=9 IU)
4-8
7 mg (=10.5 IU)
9-13
11 mg (=16.5 IU)
11 mg (=16.5 IU)
15 mg (=22.5 IU)
19 mg (=28.5 IU)
14 +
15 mg (=22.5 IU)
15 mg (=22.5 IU)
15 mg (=22.5 IU)
19 mg (=28.5 IU)
แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีในปริมาณสูงมีหลายอย่างทั้งผักผลไม้ที่เห็นได้ชัดคือ มะเขือเทศซึ่งมีวิตามินอีสูง นม ไข่ ถั่ว ปลาและในน้ำมันพืช ผักใบเขียว เป็นต้น และจากวิจัยค้นพบว่า กีวีนั้นมีสารอาหารชนิดนี้มากกว่าผลไม้ชนิดอื่นและมีมากที่สุดในกีวีสีทองมีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า

ประโยชน์เน้นๆของวิตามินอี ( Vitamin E )

1. ช่วยปกป้องและต่อต้านอนุมูลอิสระ
2. ช่วยบำรุงผิวให้มีสุขภาพดีและแลดูอ่อนเยาว์
3. ช่วยลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย
4. ช่วยลดเลือนแผลเป็น ฝ้า กระและจุดด่างดำ ให้จางลง
5. ช่วยลดอาการวัยทองในสตรีสูงวัย
6. ช่วยบำรุงหลอดเลือดและรักษาสุขภาพหัวใจ
7. ช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินเอ

คำแนะนำในการรับประทานวิตามินอี

  • ขนาดแนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 8-10 IU
  • ปริมาณร้อยละ 60-70 ของขนาดที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวันจะถูกขับออกทางอุจจาระ
  • อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของธาตุซีลีเนียม 25 mcg. ต่อวิตามินอี 200 IU จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินอีได้เป็นอย่างดี
  • ค่า IU ที่ระบุไว้ในฉลากอาหารเสริมของวิตามินอี เป็นค่าของ แอลฟาโทโคฟีรอล ส่วนโทโคฟีรอลตัวอื่นและโทโคไทรอีนอลนั้น ถือได้ว่ามีค่าเป็น 0 IU
  • ปริมาณ IU บนฉลากอาหารเสริม ไม่ได้เป็นการระบุว่าวิตามินอีนั้นมีเพียงแอลฟาโทโคฟีรอลเพียงตัวเดียว หรือมีโทโคฟีรอลตัวอื่นและโทโคไทรอีนอลรวมอยู่ด้วยหรือไม่
  • ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินอีวางจำหน่ายทั้งแบบชนิดเป็นน้ำมัน แคปซูล แบบเม็ดละลายน้ำได้
  • อาหารเสริมที่สกัดแอลฟาโทโคฟีรอลจากธรรมชาติ จะมีประสิทธิภาพเป็นสองเท่าของแบบสังเคราะห์
  • วิตามินอีให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะมีขนาดตั้งแต่ 100-1,500 IU ผู้ที่ไม่ชอบรับประทานแบบน้ำมัน หรือผู้ที่มีปัญหาผิวที่เกิดจากความมัน แนะนำให้รับประทานเป็นแบบเม็ดแห้งละลายน้ำ รวมไปถึงผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีด้วย
  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานทั่วไปคือ 200-1,200 IU ต่อวัน ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ในปัจจุบันยังไม่พบว่ามีอาการเป็นพิษต่อร่างกายหากรับประทานมากๆ
  • หากคุณรับประทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนสูง ร่างกายอาจต้องการวิตามินอีเพิ่มมากขึ้น
  • วิตามินอีในปริมาณที่สูง จะเสริมการทำงานของยาต้านการแข็งตัวของเลือดและลดการดูดซึมของ วิตามินเค ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ดังนั้นหากคุณกำลังจะเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานวิตามินอี 2 สัปดาห์ก่อนและหลังการผ่าตัด
  • ร่างกายของเราจะดูดซึมวิตามินอีจากอาหารเสริมที่สกัดจากธรรมชาติได้มากกว่าเป็นสองเท่าของแบบสังเคราะห์ โดยสามารถดูที่ฉลากจะพบว่าวิตามินอีจากธรรมชาติจะรุว่าเป็น d-alpha-tocopherol ส่วนแบบสังเคราะห์จะเขียนว่า dl-alpha-tocopherol
  • การรับประทานโทโคไทรอีนอลนั้น จำเป็นอย่างมากที่จะต้องรับประทานร่วมกับอาหารที่มีน้ำมันหรือมีไขมันอยู่ด้วย
  • การรับประทานแอลฟาโทโคฟีรอลในปริมาณมาก จะทำให้ระดับของแกมมาโทโคฟีรอลในเลือดลดลง ซึ่งแกมมาโทโคฟีรอลนี้มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบ (อนุมูลิสระที่มีไนโตรเจนจะสัมพันธ์กับโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง อัลไซเมอร์ โรคหัวใจ)
  • หากคุณรับประทานแกมมาโทโคฟีรอล จะทำให้ระดับแอลฟาและแกมมาโทโคฟีรอลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นด้วย
  • แกมมาโทโคฟีรอลมีประสิทธิภาพสูงสุดในการยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  • ธาตุเหล็กอนินทรีย์ สามารถทำลายวิตามินอีได้ จึงไม่ควรรับประทานร่วมกัน หากจะรับประทานอาหารเสริมที่มีธาตุเหล็กหรือเฟอร์รัสซัลเฟต ควรจะรับประทานวิตามินอีก่อนหรือหลัง 8 ชั่วโมง
  • เฟอร์รัสกลูโคเนต เฟอร์รัสเปปโทเนต เฟอร์รัสซิเทรต เฟอร์รัสฟูเมเรต (ธาตุเหล็กอินทรีย์) จะไม่ทำลายวิตามินอี
  • หากดื่มน้ำที่มี ธาตุคลอรีน ร่างกายจะต้องการวิตามินอีเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ
  • สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือรับประทานยาคุมกำเนิด ฮอร์โมนเสริม ร่างกายจะต้องการวิตามินเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ
  • สำหรับผู้หญิงที่ย่างเข้าสู่วัยทอง ควรรับประทานวิตามินอีให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยหากอายุน้อยกว่า 40 ปี ควรรับประทานในขนาด 400 IU ต่อวัน แต่หากมีอายุมากกว่า 40 ปี ควรรับประทาน 800 IU ต่อวัน ถ้าเป็นแบบเม็ดแห้งจะดีมาก



ที่มา : http://stronglife.in.th/
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ผู้ชมหน้านี้ :

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น