เมื่อความตายอยู่ตรงหน้า ภารกิจ...ส่งวิญญาณนักโทษ


"ความตาย" เป็นสัจธรรมที่มนุษย์โลกมิอาจปฏิเสธ เพียงแต่ว่าความตายจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วเท่านั้น ทว่าบางคนก็ถูกพิพากษาตัดสินให้ "ตาย" เพื่อชดใช้กรรมที่ก่อไว้ด้วยชีวิต ในฐานะ "นักโทษประหาร" และเมื่อวินาทีแห่งความตายมายืนรออยู่เบื้องหน้าพวกเขาจะเป็นเช่นใด กับภารกิจสวดส่งวิญญาณคนเป็นไปสู่ความตาย "พระครูศรีนนทวัฒน์" เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ อ.เมือง จ.นนทบุรี


  -เริ่มเทศน์ให้แก่นักโทษก่อนถูกประหารชีวิต               พระครูศรีนนทวัฒน์ : อาตมาบวชเข้ามาเป็นพระลูกวัดที่วัดบางแพรกใต้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2530 ตั้งแต่เข้ามาเป็นพระลูกวัดที่วัดแห่งนี้ มีโอกาสรับกิจนิมนต์เข้าไปในเรือนจำบางขวางอยู่เป็นประจำ เนื่องจากเรือนจำมักจะทำบุญหรือพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ ตลอดเวลา ครั้งแรกที่มีโอกาสเทศน์ให้นักโทษประหารฟังก่อนถูกประหารชีวิต เริ่มตั้งแต่ปี 2539 และต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ล่าสุดเทศน์ให้นักโทษประหาร 2 คน คือ น.ช.บัณฑิต เจริญวานิช อายุ 45 ปี และ น.ช.จิรวัฒน์ พุ่มพฤกษ์ อายุ 52 ปี นักโทษคดียาเสพติดรายใหญ่ ถูกจับกุมพร้อมของกลางยาบ้ากว่า 1 แสนเม็ด ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษ การประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากประเทศไทยแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 16) พ.ศ.2546 มาตรา 19 เปลี่ยนการประหารชีวิตจากการยิงเป้ามาเป็นฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย  

              -อดีตถึงปัจจุบันเรือนจำบางขวางเปลี่ยนแปลงเพียงใด               พระครูศรีนนทวัฒน์ : ต้องยอมรับว่าสมัยนี้เรือนจำนั้นแตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง กำแพงสูงของเรือนจำนั้นไม่สามารถปิดกั้นอะไรได้เหมือนสมัยในอดีต อดีตเคยมองว่าหลังกำแพงคุกเป็นเมืองสนธยา ปัจจุบันเรือนจำบางขวางเปิดกว้างให้คนข้างนอกนั้นตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดการไปเกือบทั้งหมด ดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชนแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ก่อนนักโทษประหารจะไม่สามารถติดต่อกับญาติได้เลย เพราะจะรู้ตัวก่อนโดนประหารชีวิตแค่ 1 ชั่วโมง แต่ตอนนี้มีการประกาศก่อน อนุญาตให้ญาติมาเยี่ยมและพูดคุยผ่านโทรศัพท์ได้

            -ช่วงเวลาที่พระคุณเจ้ารับกิจนิมนต์เข้าไปเทศน์ให้นักโทษก่อนเสียชีวิต             พระครูศรีนนทวัฒน์ : ก่อนประหารชีวิตเรือนจำจะปกปิดเป็นความลับจนกว่าจะเก็บนักโทษทั้งหมดเข้าเรือนนอนในเวลา 15.30 น. จากนั้นเรือนจำจะเบิกตัวนักโทษที่ต้องรับโทษประหารชีวิตออกมา และแจ้งให้ทราบถึงผลฎีกา เพื่อให้เขียนพินัยกรรมสั่งเสียหรือให้โทรศัพท์สั่งเสียกับญาติพี่น้องก่อนประหารชีวิต 1 ชั่วโมง จากนั้นเรือนจำจะจัดอาหารมื้อสุดท้ายให้แก่นักโทษ และจะนิมนต์พระสงฆ์วัดบางแพรกใต้เข้ามาแสดงธรรม เมื่อถึงเวลาจะนำนักโทษประหารขึ้นรถเอาตัวเข้าสู่แดนประหาร ก่อนเข้าสู่แดนประหารผู้คุมจะนำนักโทษเข้าสักการะศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์และกราบไหว้ต้นโพธิ์ 3 ต้น หน้าแดนประหาร จากนั้นจะนำนักโทษเข้าสู่ห้องฉีดสารพิษ และปิดตานักโทษด้วยผ้าดำ รวมทั้งให้นักโทษถือดอกไม้ธูปเทียนและหันหน้าไปทางวัดบางแพรกใต้ หากเป็นสมัยที่ยังประหารชีวิตด้วยการยิงเป้านั้นนักโทษจะไม่รู้ตัวเลย กว่าจะรู้ว่าวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึงก็ตอนถูกนำตัวไปฟังพระเทศน์

-ก่อนถูกประหารชีวิตพวกเขามีปฏิกิริยาเช่นใด                  พระครูศรีนนทวัฒน์ : สมัยก่อนนักโทษประหารจะรู้ตัวไม่นานก่อนโดนประหารชีวิต ทุกครั้งหลังได้รับกิจนิมนต์ ซึ่งใช้เวลาเพียง 15 นาที หลังจากนั้นอีกไม่ถึง 10 นาทีจะมีคนตายอย่างน้อย 1 คน  จนบรรดาผู้คุมและนักโทษมักพูดว่าเทศนาของอาตมาเป็น "เทศนามรณา" รวมเวลาแล้วนักโทษประหารจะรู้ตัวไม่เกิน 1 ชั่วโมงก่อนที่จะถูกประหาร ส่วนใหญ่เมื่อรู้ตัวว่าจะถูกประหารจะกินข้าวไม่ลง หน้าซีดมือไม้อ่อน มีบางคนก่อนเข้าหลักประหารขอผู้คุมว่าต้องการถวายกัณฑ์เทศน์ด้วยมือก็มีบ่อย อาตมาต้องลงไปหาเขาเพราะเขามาหาเราไม่ได้ บางคนขอจับผ้าเหลืองเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนบทเทศนาที่อาตมาเทศน์ให้พวกเขาฟังส่วนใหญ่จะเทศน์เกี่ยวกับเรื่องกรรม การทำให้จิตใจให้เขาสงบ เคยมีนักโทษหลายรายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าไม่ติดคุก คงไม่มีโอกาสฟังเทศน์ อาตมาอยากบอกว่า หากทุกคนปฏิบัติธรรม เข้าวัด ฟังเทศน์ ตั้งแต่อยู่นอกคุก วันนี้คงไม่ต้องมานั่งฟังเทศน์ในคุกแน่นอน

                  -เคยมีนักโทษที่มีอาคมแกร่งกล้า (จอมขมังเวทย์)
                 พระครูศรีนนทวัฒน์ : เท่าที่อาตมาสัมผัสมานั้นไม่มี นักโทษทุกคนที่มีฎีกาประหารชีวิต ทุกรายจะกลายเป็นศพ หนีกรรมที่ตนก่อขึ้นไว้ไม่ได้ พิธีกรรมทางศาสนาไม่ได้ผิดแปลกอะไรจากคนทั่วๆ ไป แต่สำหรับเพชฌฆาตจะมีพิธีกรรมที่เชื่อในการประหารนักโทษแต่ละครั้งแตกต่างกันไปในแต่ละคนไม่เหมือนกัน ส่วนสิ่งที่แปลกนักโทษบางราย เมื่อเห็นตำรวจในขั้นตอนประหารจะเกิดอาการบ้าคลั่ง ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ากระบวนการประหารชีวิตจะต้องแต่งตัวนอกเครื่องแบบ เท่าที่ทราบว่าอาการบ้าคลั่งโวยวายนั้น เพราะเขาฝังใจว่าตำรวจคือคนที่จับเขาทั้งที่ไม่ได้ผิด

                 -มีศพนักโทษหลงเหลือและไม่มีญาติ               พระครูศรีนนทวัฒน์ :  ศพของนักโทษทุกรายที่ถูกฎีกาประหารชีวิตนั้นจะเอาศพออกทางประตูผีทางเดียว ประตูดังกล่าวเป็นประตูของเรือนจำที่อยู่ติดกับวัด ประตูดังกล่าวจะล็อกกุญแจไว้ 2 ด้าน จะเปิดต่อเมื่อนำศพออกมาเท่านั้นเพื่อทำพิธีกรรมทางศาสนา หรือเอาเก็บไว้ที่สุสานเพื่อรอญาตินำเอกสารมารับเพื่อไปประกอบพิธีกรรมทางศาลนาต่อไป ปัจจุบันทราบว่ามีศพของนักโทษประหารอีก 3-4 ศพ ที่ยังอยู่ในสุสาน ไม่มีญาตินำเอกสารมาประกอบพิธีกรรม แต่หลายปีก่อนเคยทำบุญล้างป่าช้า นำศพที่ไม่มีญาติที่รับมาจากสุสานมาเผา 6 ศพ ปัจจุบันเถ้ากระดูกอาตมาเก็บไว้ จำได้ว่าหนึ่งในนักโทษประหารนั้นมี เดชา สุวรรณสูตร ผู้ต้องหาฆ่าข่มขืนน้องนุ่น

   -เคยมีคนมาทำพิธีกับศพของนักโทษประหาร
                  พระครูศรีนนทวัฒน์ :  สมัยก่อนสุสานไม่ได้เป็นลักษณะก่อสร้างด้วยปูนและแบ่งเป็นช่องๆแบบนี้จะเป็นลักษณะป่าช้า พอมีนักโทษเสียชีวิตก็จะนำไปฝังไว้และทำป้ายชื่อไว้ที่หลุมศพ ตรงนี้ก็มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าจะมีพวกอุตริชอบปลุกผีขึ้นมา สมัยก่อนจะเอาน้ำมันพรายทำนองนี้ เขาจะเอาปลาทูมายำแล้วเอามาให้ผีกินทุกคืน แต่พอหลังๆ เขาไม่มาผีพวกนี้ก็จะอาละวาด จนหลวงพ่อท่านทนไม่ไหวจึงออกไปปราบ แต่ปัจจุบันไม่มีแล้วพื้นที่ผืนนั้นปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่ของโรงเรียนแล้ว.


ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=634721
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น