ไขความลับของมัมมี่..ด้วยเทคโนโลยียุคใหม่

ฟาโรห์ที่ทรงถูกเชือดพระศอ เด็กหญิงอินคาที่เป็นโรคปอด และมนุษย์ยุคหินผู้ทรมานจากฟันผุ นี่เป็น
เพียงตัวอย่างบางส่วนของความลับโบราณที่เก็บงำอยู่ในร่างมัมมี่ ซึ่งถูกเผยออกมาด้วยเครื่องมือซีทีสแกนอันล้ำสมัย
มัมมี่ก็ (เคย) เป็นโรคหัวใจ
           นักวิทยาศาสตร์คงต้องเขียนสมมติฐานการเกิดโรคจากวิถีชีวิตแบบปัจจุบันเสียใหม่ ผลซีทีสแกนเผยให้เห็นว่า แม้แต่ในยุคโบราณ ผู้คนก็เป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
           การกินอาหารอุดมไขมันและไม่ออกกำลังกายมักถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง แต่จากการสำรวจมัมมี่ทั้งหมด 137 ซาก จากทั้งอะแลสกา อียิปต์ และอเมริกาใต้พบว่า โรคหลอดเลือดแดงแข็งเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว และราว 1 ใน 3 ของซากมัมมี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่เก่าแก่ที่สุดต่างก็เคยทรมานจากอาการเส้นเลือดอุดตันมาแล้ว ดังนั้น ปัจจัย เช่น วัฒนธรรม และอาหารจึงไม่สามารถอธิบายที่มาของโรคได้โดยทันที ยกตัวอย่างเช่น ชาวอียิปต์กินเนื้อวัว ในขณะที่ชาวอะแลสกากินแต่ปลา พวกเขากลับมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งเหมือนๆกัน นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า เมื่ออายุเพิ่มขึ้น มนุษย์เราก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็งอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะมีการใช้ชีวิตแบบใดก็ตาม
ซีทีสแกน (CT Scanning)
- คือการฉายรังสีเอกซ์ในแบบที่ซับซ้อนขึ้น
- แสดงภาพกระดูก กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อไขมันได้
- ห็นรายละเอียดของอวัยวะได้มากกว่าวิธีฮายรังสีเอกซ์ธรรมดา
- สามารถสร้างภาพ 3 มิติที่เปลี่ยนมุมมองได้ในคอมพิวเตอร์
คนไข้โรคหัวใจที่เก่าแก่ที่สุด
หนึ่งในมัมมี่ทั้งหมด 137 ซาก คือ เจ้าหญิงอียิปต์โบราณ "อาห์โมส-เมร์เยต-อามอน" (Ahmose-Meryet-Amon) ผู้มีพระชนม์ชีพอยู่เมื่อราว 3,550 ปีที่แล้ว และถือเป็นเหยื่อของโรคหลอดเลือดแดงแข็งที่เก่าแก่ที่สุดที่เรารู้จัก พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษาได้ 40 ปี จากพระอาการหลอดพระโลหิตในพระหทัยอุดตัน ถ้าหากว่าเป็นทุกวันนี้ล่ะก็ คงจะทรงเข้ารับการผ่าตัดบายพาสไปแล้ว
พรุทำลายร่างของ "มนุษย์โกรบาล"
การสแกนเผยให้เห็นว่าชาวนอร์เวย์โบราณหาใช่นักเชือดจอมป่าเถื่อนไม่
         
        วันหนึ่งในปี 1952 คนตัดถ่านหินพีต (ถ่านหินในขั้นเริ่มต้นซึ่งซากพืชบางส่วนยังสลายตัวไม่หมด) พบว่าพลั่วของเขากระแทกเข้ากับของแข็งบางอย่างขณะตัดถ่านหินบริเวณพรุ (พื้นที่ชุ่มน้ำประเภทหนึ่งที่เป็นที่สะสมของพีต) ซึ่งอยู่ใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเดนมาร์กที่ชื่อว่า โกรบาล (Grauballe) แท้จริงแล้วสิ่งที่พวกเขาพบคือร่างมนุษย์ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์เชื่อว่าร่างที่ต่อมาได้ชื่อว่ามนุษย์โกรบาล (Grauballe Man)นั้นนอนอย่างสงบใต้พรุมาตลอดหลายศตวรรษ แต่การศึกษาในภายหลังชี้ให้เห็นว่า เขามีชีวิตอยู่ในราว 290 ปีก่อนคริสต์ศักราชและร่างถูกเก็บรักษาไว้ใต้พรุ ซึ่งช่วยหยุดยั้งการย่อยสลายซากศพของเขา
       นักวิทยาศาสตร์ในขณะนั้นคาดว่า มนุษย์โกรบาลน่าจะถูกสังหารในพิธีกรรมอันทารุณ เนื่องจากรอยเชือดคอขนาดใหญ่และการฉายรังสีเอกซ์ทำให้ทราบว่ากะโหลกสมองที่แตกและขาที่หักของเขาน่าจะเป็นผลมาจากการทรมานและถูกบังคับให้คุกเข่าต่อหน้าเพชฌฆาต แต่ทว่าผลซีทีกลับทำให้เห็นว่าทั้งกระดูกขาและกะโหลกของเขานั้นแตกออกเนื่องจากแรงดันมหาศาลในพรุ
การสแกนทำให้ทราบว่า มนุษย์โกรบาล...
- เป็นชายสุขภาพดี มีอายุ 43 ปี ขณะเสียชีวิต
- ตัดผมอย่างสม่ำเสมอ
- โกนหัวครั้งสุดท้ายประมาณ 3 สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต
- อาหารมื้อสุดท้ายคือธัญพืชจำพวกข้าวบาเลน์และโอ๊ต
- อาจเสียชีวิตในฤดูหนาว
- มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยจากอาการข้ออักเสบ และโรคเหงือกอักเสบ
ชายหนุ่มที่ถูกแทงจนเสียชีวิตเมื่อ 5,500 ปีที่แล้ว
การตรวจสอบมัมมี่ที่โด่งดังที่สุดซากหนึ่งของบริติชมิวเซียม ทำให้รู้ว่าเขาคือเหยื่อฆาตกรรม
             ในปี 1896 นักโบราณคดีชาวอังกฤษพบซากมัมมี่ชาวอียิปต์ที่เก่าแก่ 5,500 ปี เขาถูกทำให้เป็นมัมมี่เพราะความร้อนของทราย มัมมี่ที่อยู่ในสภาพดีรายนี้ถูกเรียกว่า "มนุษย์เกเบอลีน" (Gebelein Man) เขาคือหนึ่งในของจัดแสดงที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในพิพิธภัณฑ์ ทว่าเจ้าหน้าที่กลับไม่รู้สาเหตุการตายของเขา
             ต่อมาการทำซีทีสแกนในปี 2012 ช่วยเผยให้เห็นว่า มนุษย์เกเบอลีนมีแผลฉกรรจ์ที่ไหล่ ซึ่งลึกมากพอทำลายกระดูกสะบักและกระดูกซี่โครงหลายชิ้น
             นอกจากนั้นปอดข้างหนึ่งของเขายังถูกทำลาย เศษกระดูกฝังอยู่ในกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ การศึกษาครั้งนี้ได้ผลสรุปว่า เขาคือเหยื่อของอาวุธเพชฌฆาตที่มีความกว้างหน้าตัดราว 1.5-2 เซนติเมตร 
             ซีทีสแกนทำให้ทราบว่ามัมมี่รายนี้เพิ่งจะหยุดการเจริญเติบโตและมีการสึกกร่อนของฟันเพียงเล็กน้อย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์เกเบอลีนน่าจะมีอายุราวๆ 18-21 ปีขณะที่เขาเสียชีวิต
ซีทีสแกนกับการทำมัมมี่คุณภาพต่ำ
นักวิทยาศาสตร์ชาวโครแอตรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาสแกนมัมมี่อียิปต์อายุ 2,400 ปี ในโรงพยาบาลซาเกร็บ และพบว่าภายในกะโหลกมีวัสดุที่ทราบภายหลังว่าเป็นแท่งไม้ยาว 8 เซนติเมตร พวกเขาเชื่อว่ามันคือเครื่องมือที่ใช้ในการนำเอาสมองออกมาจากศพของผู้ตาย บางส่วนอาจจะหักค้างอยู่ในกะโหลก แม้นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก "เฮรอโดตัส" (Herodotus) จะกล่าวว่า การนำสมองออกนั้นใช้ตะขอเหล็กแทงเข้าไปทางรูจมูก แต่การศึกษานี้ทำให้เห็นว่ายังมีการทำมัมมี่คุณภาพต่ำที่ใช้แท่งไม้แทนตะขอเหล็ก
สูตรลับทำงานได้ดี
การทำซีทีสแกนพบว่าฟอร์มาลิน แอลกอฮอล์ และเกลือสังกะสี ทำให้ร่างกายของเด็กน้อยกลายสภาพเป็นมัมมี่ที่สมบูรณ์แบบ
           บิดาชาวซิซิเลียนของเด็กน้อยวัย 2 ขวบ "โรซาเลีย" (Rosalia) รู้สึกโศกเศร้ายิ่งเมื่อลูกสาวสุดที่รักของเขาต้องจากไปโดยโรคปอดบอมในปี 1920 ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจค้นหานักทำมัมมี่ผู้สามารถรักษาร่างลูกสาวของเขาไว้ได้ บัดนี้เรารูแล้วว่าอัลเฟรโด ซาลาเฟีย (Alfredo Salafia) นับเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับงานนี้อย่างยิ่ง เพราะเขาสามารถทำให้โรซาเลียดูเหมือนกำลังนอนหลับไปเท่านั้น
           สูตรที่ทรงประสิทธิภาพของเขาเป็นความลับทางธุรกิจ ซาลาเฟียไม่เคยบอกใครจนกระทั่งเมื่อปี 2009 มีการค้นพบเอกสารอธิบายว่าของเหลวดังกล่าวประกอบไปด้วยฟอร์มาลิน แอลกอฮอล์ กรดซาลิโซลิก และกรีเซอรีน รวมถึงเกลือสังกะสีอันเป็นส่วนผสมสำคัญที่สุดในการรักษาร่างเล็กๆของโรซาเลีย
           ผลของซีทีสแกนเผยให้เห็นว่า สูตรลับนี้ทรงประสิทธิภาพ เนื่องจากอวัยวะภายในรวมถึงสมองที่เปราะบางของเธอยังคงสภาพสมบูรณ์
ติดตามการเสียชีวิต
โรซาเลียไม่ใช่มัมมี่ของซิซิเลียนเพียงซากเดียวที่ผ่าซีทีสแกน หลุมศพ วิหาร และโบสถ์ในเกาะแห่งนี้ล้วนมีมัมมี่มากมาย นักวิทยาศาสตร์กำลังติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตและความตายของชาวซิซิเลียนในช่วงปี 1500-1900 งานนี้มีแผนการดำเนินงานประมาณ 5 ปี
มัมมี่เกลือลึกลับถูกทำร้ายจนตาย
            ในปี 1993 คนงานในเหมืองเกลือแห่งหนึ่งในเมืองซันจาน (Zanjan) ประเทศอิหร่านพบซากแห้งของชิ้นส่วนรางกายมนุษย์อยู่ในอุโมงค์ยาว 45 เมตร ซากศพมีผมยาวรุงรังในรองเท้าบู๊ตมีชิ้นส่วนกระดูกหน้าแข้ง รายล้อมได้วยมีดเหล็ก เส้นด้ายเงิน เชือกหนัง และถ้วยที่แตกแล้ว การศึกษาในภายหลังพบว่าชายผู้นี้มีชีวิตอยู่เมื่อ 1,700ปีมาแล้ว ทรงผมและเครื่องประดับบ่งบอกว่าเขาเป็นชนชั้นสูง
            การใช้ซีทีสแกนช่วยเผยความจริงที่ว่า ก่อนตายเขาถูกกระแทกเข้าอย่างจังที่เบ้าตาข้างหนึ่งจนกะโหลกแตก และปัจจุบันยังคงเป็นปริศนาอยู่ว่า ทำไมเขาจึงถูกฆ่าและมีจุดจบอยู่ในเหมืองเช่นนี้
"มัมมี่เกลือ" ใส่ต่างหูทองคำซึ่งเป็นของสงวนสำหรับชนชั้นสูงที่มีอำนาจและร่ำรวย
มัมมี่อินคาผู้เป็นโรคปอด
              เมื่อ 500 ปีที่แล้ว เด็กชาวอินคา 3 คน ประกอบด้วย ชายหนึ่ง หญิงสอง ถูกพามายังภูเขาไฟยูไยยาโก (Llullaillaco) ระหว่างพรมแดนอาร์เจนตินาและชิลีในปัจจุบัน เพื่อสังเวยพวกเขาแด่ทวยเทพ อากาศที่แห้งและเย็นช่วยรักษาร่างกายของเด็กทั้งสามไว้เป็นอย่างดี เมื่อนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน โจฮัน ไรน์ฮาร์ดพบศพเหล่านี้ในปี 1999 ศพทั้งสามยังดูราวกับว่ามีชีวิตอยู่ หลังจากศึกษาหลายครั้ง รวมทั้งการใช้ซีทีสแกนทำให้พบว่า เด็กสาวที่โตที่สุดยังคงพรหมจรรย์อยู่ และมีการบาดเจ็บที่ปอด ซึ่งน่าจะเกิดจากการติดเชื้อ การศึกษาต่อมาช่วยทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบว่าเธอติดเชื้อ Mycobacterium ซึ่งก่อให้เกิดวัณโรค
มนุษย์น้ำแข็งมีสุขภาพช่องปากย่ำแย่
           นักวิทยาศาสตร์พบว่า เอิตซี (Ötzi)มนุษย์น้ำแข็งนั้นต้องการทันตแพทย์อย่างเร่งด่วน การใช้ซีทีสแกนเผยให้เห็นว่า มัมมี่ยุคหินที่พบในเทือกเขาแอลป์เมื่อปี 1991 ต้องทนทรมานจากอาการฟันผุ โรคเหงือก และฟันแตก "สภาพย่ำแย่ของเขาทำให้เราตะลึง เขาเป็นโรคในช่องปากทุกชนิดที่จินตนาการได้" นักบรรพชีวินวิทยา ฟรังค์ รือลี (Frank Rühli) จากมหาวิทยาลัยซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้ศึกษามัมมี่อายุ 5,000ปีรายนี้กล่าว นักวิทยาศาสตร์พบว่าสุขภาพฟันของเอิตซีนั้นเป็นผลจากผงหินที่ปะปนอยู่ในแป้งของยุคนั้น
อาการขาหักฆ่ากษัตริย์หนุ่ม
            นับตั้งแต่นักโบราณคดีโฮวาร์ด คาร์เตอร์เปิดผนึกฝาโลงทองคำของฟาโรห์ตุตันคามุนในปี 1922 นั้น สาเหตุการสวรรคตของฟาโรห์หนุ่มก็เป็นที่ถกเถียงตลอดมา สมมติฐานหนึ่งเชื่อว่าทรงถูกลอบปลงพระชนม์ ทว่าซีทีสแกนทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบว่า ตุตันคามุนสวรรคตหลังจากทรงประสบอุบัติเหตุ พวกเขาพบรอยแตกที่พระอูรัฐิ (กระดูกต้นขา) ซึ่งไม่เยียวยาตัวเอง แสดงให้เห็นว่า พระอูรัฐิหักก่อนหน้าที่จะเสด็จสวรรคตเพียงไม่กี่วัน พระอูรัฐิ ที่หักทำให้พระพลานามัยของฟาโรห์อ่อนแอจนไม่อาจทรงทนต่อการติดเชื้อมาลาเรียได้ในที่สุด
มัมมี่จระเข้ยืนยันคำพูดของนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก
           ชาวอียิปต์โบราณนิยมทำมัมมี่สัตว์ด้วย เช่น มัมมี่จระเข้ ซึ่งจะถูกนำไปบูชายัญแด่เทพเจ้าโซเบค (Sobec) ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์มีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับการทำมัมมี่จระเข้ อย่างไรก็ตามซีทีสแกนของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในอเมริกาได้แสดงให้เห็นว่า มัมมี่สัตว์แตกต่างจากมัมมี่คน นั่นคือไม่มีการกำจัดของภายในกระเพาะ นักวิทยาศาสตร์พบว่าภายในกระเพาะของมัมมี่จระเข้ยังเต็มไปด้วยก้างปลา หิน และตะขอเบ็ดทองแดง
           การค้นพบนี้ช่วยยืนยันบันทึกของนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกผู้มีชื่อเสียงอย่างเฮรอโดตัส ผู้เคยท่องเที่ยวในอียิปต์เมื่อราวคริสต์ศักราชที่ 400 เนื่องจากเขาบันทึกไว้ว่า "ชาวอียิปต์ใช้ตะขอเบ็ดและเนื้อหมูเป็นเหยื่อล่อเพื่อจับจระเข้ไปบูชายัญ"
ฟาโรห์ผู้ถูกเชือดคอ
ซีทีสแกนช่วยไขปัญหาลึกลับยาวนาน 3,000 ปีว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์สุดท้ายของอียิปต์ทรงถูกปลงพระชนม์อย่างไร
            ฟาโรห์รามเสสที่ 3 ทรงเป็นหนึ่งในฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอียิปต์ ทรงถูกปลงพระชนม์รหว่างการก่อกบฏเมื่อ 1,155 ปี ก่อนคริสต์ศักราช จากหลักฐานบันทึกปาปิรัสอายุ 3,000 ปีระบุว่า ฆาตกรถูกจับและลงโทษ แต่บางแหล่งก็บอกว่าฟาโรห์รามเสสยังมีพระชนม์ชีพอยู่อย่างไรก็ดีซีทีสแกนช่วยส่งเสริมทฤษฎีที่ว่า รามเสสสวรรคตระหว่างการกบฏ การสแกนทำให้เห็นรอยเชือดพระศอยาว 7 เซนติเมตร "แผลนี้ใหญ่และลึกมากจนเกือบถึงพระปิฐิกัณฐกัฐิ (กระดูกสันหลัง)" นักมานุษยวิทยา อัลเบิร์ต ซิงก์ เชื่อว่า รอยเชือดเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่สวรรคตในทันที
เครื่องรางเยียวยารามเสส
           ซีทีสแกนทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีเครื่องรางฝังอยู่ในบาดแผลที่พระศอของฟาโรห์รามเสส พวกเขาคิดว่า นี่เป็นความเชื่อของคนทำมัมมี่ที่ว่าเครื่องรางอาจช่วยเยียวยาบาดแผลได้
ผู้โค่นบัลลังก์ฟาโรห์  
             ผู้อยู่เบื้องหลังการก่อกบฏต่อรามเสสที่ 3 คือราชินีและพระราชโอรส พระนางตี (Tiye) และเจ้าชายเพนทาเวอร์ (Pentawer) ทั้งสองทรงวางแผนปลงพระชนม์ทั้งฟาโรห์และรัชทายาท หรือในภายหลังคือรามเสสที่ 4 เพื่อชิงราชสมบัติให้แก่เจ้าชายเพนทาเวอร์โดยทรงร่วมมือกับเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักหลายคน ท้ายที่สุดก็ถูกสำเร็จโทษหลังการก่อกบฏล้มเหลว


ที่มา : http://kidsnews.bectero.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต




ผู้ชมหน้านี้ :  

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น