พัทยา เมืองที่มีสโลแกนว่า Sea-Sand-Sun สร้างรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาลจากธุรกิจสีขาว สีเทา และสีดำ เป็นที่รู้กันดีไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ว่า เรือนร่างคือแหล่งทำเงินหลักให้แก่พัทยา จนบางคนเอ่ยปากว่า สโลแกนของพัทยาตกหล่นไปหนึ่งคำ ที่ถูกต้องครบถ้วนควรจะเป็น Sea-Sand-Sun-Sex

ที่พูดนี่ ไม่ได้เจาะจงเฉพาะเรือนร่างของผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชาย เด็ก สาวประเภทสอง หรืออาจจะเรียกได้ว่าเกือบทุกรสนิยมทางเพศที่มีอยู่บนโลก หาได้ที่นี่-พัทยา
ชีวิตของคนที่วนเวียนอยู่ในวงจรอาชีพ Sex Workersหรือพนักงานบริการก็เหมือนคนชายขอบในสังคมกลุ่มอื่นๆ ที่ต้องเผชิญความยากลำบากในการเข้าถึงสิทธิอันพึงมีพึงได้ท่ามกลางการตรา หน้าจากสังคมลูบหน้าปะจมูก ที่ด้านหนึ่งบอกว่าผิดกฎหมาย อีกด้านกลับเปิดให้มีการค้าเนื้อสดกันอย่างแทบจะเรียกได้ว่าเสรี ขอแค่เข้าให้ถูกช่องทางและรู้จักแบ่งปันผลประโยชน์



แต่อาจต้องเพิ่มเลขยกกำลังความยากลำบากเข้าไปสำหรับพนักงานบริการที่เป็น สาวประเภทสอง ด้วยเพศสภาพที่แตกต่างจากเพศหลักๆ ที่สังคมกำหนด ยิ่งผลักพวกเธอให้กลายเป็นคนชายขอบของชายขอบ ถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอิทธิพล นักเลงหัวไม้ ผ่านกฎหมายและกฎหมู่
ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ-www.tcijthai.com)ลง พื้นที่พัทยา เก็บเกี่ยวเรื่องราวชีวิตสาวประเภทสองท่ามกลางอิทธิพลและอำนาจ ปากท้องและการดิ้นรน การถูกข่มเหงรังแกและการกล้ำกลืนฝืนทน การเรียกร้องความเป็นมนุษย์และน้ำตา...



‘กะเทย ทุเรียน และสุนัข’ห้ามเข้า
ในยุคหนึ่งป้ายประกาศทำนองนี้มีให้เห็นตามโรงแรมในเมืองพัทยา สาวประเภทสองบางคนบอกว่า มันเป็นเรื่องขำขัน พอๆ กับเป็นเรื่องขมขื่น เหตุผลที่โรงแรมหยิบยกมาใช้ห้ามเพราะว่า ‘กะเทย’ชอบขโมยของแขกหรือมอมเหล้าแขก ดังนั้น แม้จะเป็นพนักงานบริการเหมือนกัน แต่หากเป็นผู้หญิงจะได้รับการต้อนรับ หากเป็นสาวประเภทสองจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับทุเรียนและสุนัขทันที
เอ (นามสมมติ) สาวประเภทสองที่ทำงานบริการอยู่ในพัทยามากว่า 12 ปี ตั้งคำถามว่า
“ทำไมเขาถึงคิดว่ากะเทยจะต้องเป็นขโมย ผู้หญิงหรือผู้ชายเป็นขโมยไม่ได้หรือไง”
แม้ปัจจุบันจะไม่มีการนำป้ายแบบนี้มาติด แต่ก็มีพนักงานของโรงแรมบางแห่งใช้วิธีเรียกเงินจากพนักงานบริการสาวประเภท สอง 100 บาท แลกกับการปิดปากเงียบ ไม่บอกกับลูกค้าของพวกเธอว่าเธอเป็นสาวประเภทสอง
‘พฤติกรรมผิดศีลธรรม’กับ ‘ความเป็นสาวประเภทสอง’ดูจะเป็นความเชื่อที่ถูกผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่องจนแยก ไม่ออก และทำให้สาวประเภทสองถูกเลือกปฏิบัติ แต่สิ่งนี้ก็ยังไม่หนักหน่วงเท่ากับที่พวกเธอถูกกระทำจากอำนาจรัฐและอำนาจ เถื่อนในพื้นที่



ข่มขืน ทารุณ รีดไถ
จากข้อมูลขององค์กรแห่งหนึ่งที่ทำงานกับสาวประเภทสองในเมืองพัทยาได้ทำการ รวบรวมไว้ พบว่า จำนวนสาวประเภทสองในพัทยาไม่มีตัวเลขที่แน่นอน แต่จะขึ้นลงตามฤดูกาลท่องเที่ยว โดยในช่วงไฮซีซั่นหรือช่วงตุลาคม-มกราคม จะมีสาวประเภทสองอยู่ในพัทยาประมาณ 3,000 คน ซึ่งตัวเลขนี้จะลดลงเมื่อผ่านช่วงนี้ไป
ต้องยอมรับว่า การค้าประเวณีที่ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันยังเป็นความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539ที่ชื่อของกฎหมายก็ระบุชัดเจนว่ามีวัตถุประสงค์ใด ทว่า ในอีกด้านหนึ่งกฎหมายฉบับนี้ก็ถูกเจ้าหน้าที่รัฐนำมาใช้เป็นเครื่องมือข่ม ขู่รีดไถ และก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนักหน่วงในพื้นที่พัทยา
สาวประเภทสองในเมืองพัทยากลุ่มหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มักถูกเจ้าหน้าที่รัฐตั้งข้อหาค้าประเวณี, เตร็ดเตร่ หรือก่อความรำคาญแก่นักท่องเที่ยวอยู่เสมอ จุดที่ชวนตั้งข้อสังเกตก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงมีการตั้งข้อหา ‘เตร็ดเตร่เพื่อค้าประเวณี’อยู่ (ไม่เฉพาะเมืองพัทยา) ซึ่งเป็นข้อหาที่บัญญัติอยู่ในพ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 5 (2) ว่า
‘เตร็ดเตร่ หรือคอยอยู่ตามถนน หรือสาธารณสถานในลักษณะหรืออาการที่เห็นได้ว่าเป็นการเรียกร้องการติดต่อใน การค้าประเวณี’
แต่ปัจจุบันกฎหมายฉบับนี้ได้ถูกยกเลิกและแก้ไขเป็น พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ซึ่งไม่มีการระบุข้อหาเตร็ดเตร่แต่อย่างใด
สาวประเภทสองจำนวนหนึ่งเชื่อว่า พวกเธอเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะหากเป็นพนักงานบริการเพศหญิงจะไม่ถูกกระทำทำนองนี้ นอกจากการตั้งข้อหาแล้ว บางกรณีก็รุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศ สาวประเภทสองคนหนึ่ง บอกว่า บางครั้งเจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวพวกเธอไปยังเขา สทร.5 หรือเขาพระตำหนัก และบังคับให้พวกเธอสำเร็จความใคร่ด้วยปากเพื่อแลกกับการไม่ตั้งข้อหา
“บอกให้พวกเราใช้ถุงยางเพื่อป้องกันเอดส์ แต่พวกนี้พอเจอพวกเราก็จะเข้ามาขอค้นกระเป๋า ถ้าเขาเจอถุงยางก็จับเรา หาว่าเราค้าประเวณี ถุงยางชิ้นหนึ่งโดนปรับ 500 แล้วใครจะกล้าพก”



อคติในกระบวนการยุติธรรม
ส้ม (นามสมมติ) พนักงานบริการสาวประเภทสองที่มีประสบการณ์เลวร้ายจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ
“หนูเคยไปกับลูกค้าชาวอิหร่านคนหนึ่ง ตอนกำลังนวดตัวเขา เขาก็บอกหนูว่า ตะขอสร้อยข้อมือทองคำไปเกี่ยวตัวเขา ให้หนูถอดออก สักพักก็บอกว่าตัวหนูมีกลิ่น ให้หนูไปอาบน้ำ พอหนูเข้าไปในห้องน้ำเขาก็ขังหนูไว้ข้างใน พอดีว่าตอนนั้นเอาโทรศัพท์เข้าไปด้วย แต่ว่าแบตใกล้หมด หนูก็โทรหาตำรวจ แต่ตำรวจหาว่าหนูล้อเล่น”
เมื่อส้มออกมาได้ เธอพบว่าเธอถูกชาวอิหร่านกลุ่มนี้กล่าวหาว่า เธอขโมยเงิน 300 ดอลล่าร์ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตัวเธอไปตรวจปัสสาวะและทวารหนักเพื่อหาสารเสพติด ระหว่างนั้นเธอพบว่า กระเป๋าของเธอมีรอยกรีดและมีเงิน 300 ดอลล่าร์อยู่ข้างใน
“หนูบอกตำรวจว่า ไม่ได้ขโมย แต่ตำรวจบอกว่า ...ไม่ได้เอาไปใช่มั้ย งั้นก็ไปอยู่ในคุก แล้วก็เรียกเงินหนูแสนหนึ่งเพื่อให้ล้มคดี”
สุดท้าย ส้มถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิดและให้รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 5,000 บาท กรณีของส้มอาจถูกตั้งข้อสงสัยได้ว่าเธอพูดจริงหรือไม่ แต่ประเด็นสำคัญคือกระบวนการยุติธรรมที่มีอคติและไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้น ต่างหากที่สร้างปัญหา แน่นอนว่าส้มไม่ใช่กรณีเดียวที่เกิดขึ้น
น้ำเธอมีอาชีพเป็นพนักงานของโรงแรมแห่งหนึ่งในเมือง พัทยา วันหนึ่ง เธอถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจบัตรและจับขึ้นรถ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่บอกให้เธอยอมรับสารภาพว่าเธอเสพยา เธอปฏิเสธและถูกจับให้ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ซึ่งก็ไม่พบแต่อย่างใด
“เสร็จตำรวจก็มาค้นกระเป๋าน้ำ เจอถุงยาง เขาจับน้ำข้อหาเตร็ดเตร่ น้ำก็ยอมเสียค่าปรับไป ไม่มีใบเสร็จให้ด้วย”
นอกจากเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว สาวประเภทสองยังต้องเผชิญกับการละเมิดจากกลุ่มอาสาสมัครพลเรือนต่างๆ ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่มและขึ้นตรงกับหน่วยงานต่างๆ กัน จากการตรวจสอบพบว่า อาสาสมัครบางคนมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่เฉพาะกับสาวประเภทสองเท่านั้น แต่กับประชาชนทั่วไปที่มักเป็นข่าวอยู่เป็นระยะๆ สาวประเภทสองคนหนึ่งบอกว่า
“คนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเขาก็ยอมรับนะว่า พวกอาสาสมัครพลเรือนเป็นปัญหา ตัวผู้บริหารเมืองพัทยาหรือ อสม. จะรู้ดี คือมันมีพวกที่โดนยึดบัตร แต่ยังเก็บชุดอยู่จะแฝงตัวมา ที่เป็น อปพร. จริงก็ยังละเมิด แล้วยังมีกลุ่มแฝงด้วย”
กลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้จะมีใส่สีเสื้อหรือสัญลักษณ์แตกต่างกัน บางกลุ่มไม่มียูนิฟอร์ม
“กลุ่มไม่มีเครื่องแบบจะควบคุมลำบาก เขาอยู่ภายใต้นักการเมือง ท่อนล่างใส่กางเกงทหาร พก ว. มากันสี่ห้าคน บางทีก็มากับรถตำรวจ บางคนก็พกปืน แต่จะมีกระบอง ซึ่งเรารู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร เราก็เลยไม่อยากยุ่ง เป็นนักเลงที่เคยตีเรามาก่อน”
พฤติกรรมของอาสาสมัครกลุ่มนี้มักใช้ความรุนแรง ข่มขู่ รีดไถ และล่วงละเมิดทางเพศต่อสาวประเภทสอง หากสาวประเภทสองขอดูบัตรประจำตัวก็จะโดนทำร้ายร่างกาย ส่วนมากจึงลงเอยด้วยการยอมตามข้อเรียกร้องแต่โดยดี




จากฟากฝั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ในอีกด้านหนึ่ง คงไม่เป็นธรรมนักหากไม่ได้รับฟังสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่จากเจ้า หน้าที่ตำรวจซึ่งดูเหมือนจะเป็นจำเลยในเรื่องนี้ พ.ต.อ.นันทวุฒิ สุวรรณละออง ผกก.สภ.เมืองพัทยา อธิบายว่า
“อยากให้มาดูชายหาดพัทยาที่มีทั้งสาวบริการและกลุ่มสาวประเภทสองอยู่เป็น จำนวนมาก กลุ่มเหล่านี้สร้างความรำคาญให้แก่นักท่องเที่ยวและทำให้เสียภาพลักษณ์ของ เมืองพัทยา ทางเจ้าหน้าที่จึงต้องใช้อำนาจตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 เพราะชอบไปมอมยา รูดทรัพย์นักท่องเที่ยว มีการร้องเรียนเข้ามาบ่อย ถ้าเราไม่ทำอะไรก็จะกลายเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
“การนำตัวคนกลุ่มนี้มาทำประวัติ ถือเป็นการป้องปรามรูปแบบหนึ่งที่เราดำเนินการ เพราะหากเกิดเหตุขึ้น ตำรวจสามารถนำรูปให้นักท่องเที่ยวดูเพื่อระบุตัวได้”
กรณีการร้องเรียนเรื่องตำรวจกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน พ.ต.อ.นันทวุฒิ บอกว่า การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ยึดตามหลักสิทธิมนุษยชน กรณีอย่างการจับตรวจปัสสาวะริมถนน เขายืนยันว่าไม่มี และหากผู้ใดพบเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถแจ้งความ ได้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมจะให้ความเป็นธรรม
เมื่อสอบถามกรณีอาสาสมัครพลเรือนมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พ.ต.อ.นันทวุฒิ กล่าวว่า ในพัทยามีกลุ่มเหล่านี้อยู่หลายกลุ่ม และขอปฏิเสธที่จะเอ่ยถึงกลุ่มอื่นๆ
“ในส่วนของตำรวจ เรามีตำรวจอาสาซึ่งต้องผ่านการฝึกอบรม คนกลุ่มนี้มาด้วยใจ ไม่มีเบี้ยเลี้ยงให้ ซึ่งทางเรามีการประชุมตำรวจอาสาอย่างสม่ำเสมอ”
พ.ต.อ.นันทวุฒิอธิบายว่า ประชากรในพัทยาจริงๆ มีประมาณ 1 แสนคน แต่จะมีประชากรแฝง หมายถึงนักท่องเที่ยวและคนจากที่อื่นประมาณ 4 แสนคน ยิ่งในช่วงวันหยุดยาวตัวเลขอาจพุ่งขึ้นถึง 7-8 แสนคน เป็นเหตุให้การดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง จำเป็นต้องมีตำรวจอาสาเพื่อช่วยการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
“การทำงานของตำรวจอาสาจะปฏิบัติการร่วมกับเจ้า หน้าที่ ดังนั้น จะต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ด้วยเสมอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบท แต่ขอให้สังเกตชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงิน และต้องติดบัตรแสดงชื่อ-นามสกุล หากพบพฤติกรรมข่มขู่รีดไถขอให้จดชื่อและแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้”
..........
ในสังคมไทย Sex Workersยังเป็นอาชีพผิดกฎหมาย แต่มีมากมายเกลื่อนกล่น อย่างไรเสีย คงไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ว่า สาวประเภทสองจำนวนหนึ่งประกอบอาชีพที่ ‘ผิด’ตามกฎหมาย แม้ว่าจะมีการเรียกร้องประเด็นนี้อยู่ แต่ความเปราะบางของประเด็น จึงยากที่จะเห็นผล
อย่างไรก็ตาม พวกเธอย่อมมีสิทธิที่จะเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรมอย่างมีศักดิ์ศรี ไร้อคติ และการกลั่นแกล้ง
ทว่า สิ่งที่สังคมไทยเลี่ยงไม่ตอบไม่ได้ก็คือ มีอคติทางเพศอันใหญ่โตฝังลึกและแน่นหนาในสังคมไทยหรือไม่ ที่ผลักไสให้สาวประเภทสองจำนวนมากเข้าไม่ถึงโอกาส แม้ว่าพวกเธอจะมีความสามารถ และ...ไสพวกเธอเข้าสู่วงจรการค้าเรือนร่าง
...เพียงเพราะพวกเธอมีเพศที่แตกต่าง
______________________________________________________________________
ที่มา :  http://www.thaitga.com/index.php/library/news/133-transgender-life-in-pattaya-kathoei-dog-and-durian-not-allow-to-entry
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น