หันมามองดูพวกเขา..เผื่อจะได้มีกำลังใจกันบ้าง

ย้อนไปในปี 2000 เนื่องจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้สาวน้อยที่ชื่อว่า "เฉียน หงเยี่ยน" ต้องทำการผ่าตัดขาทั้งสองขา และต้องดำรงชีวิตด้วยการใช้ลูกบาสเก็ตบอลในการเคลื่อนที่ จนทำให้มีสมญานามว่า "สาวน้อยบาสเก็ตบอล"

             
เธออาศัยอยู่ในมณฑลยูนนาน และได้เข้าการฝึกอบรมว่ายน้ำในโครงการนักกรฬาพิการของมณฑล ในการฝึกซ้อมครั้งนี้มีทั้งหมด 3 คน แต่เธอเป็นคนที่มีผลบงานการฝึกสอบดีที่สุด เธอมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำให้ได้
การฝึกให้สภาพร่างกายอยู่ในสภาพที่สมดุล เป็นการฝึกที่ใช้กำลังเป็นอย่างมาก
ความมุ่งมั่นของเธอ

การพักผ่อนให้หอพัก โดยเล่นเกมส์ทายคำศัพท์กับเพื่อนๆ
 
~ ปะยางด้วยสองเท้า..ยอดคนสู้ชีวิต ~
 
 
 
 
 คนทั่วโลกต่างรู้จักคนนี้ดี
   ย่างก้าวชีวิตของเราแต่ละคนล้วนมีอุปสรรคและสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่เสมอๆ บางคนก็สามารถก้าวพ้นความลำบากนั้นไปได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายคน ที่กำลังพยายามต่อสู้ต่อไป แม้จะเหนื่อยล้ามากเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าใครกำลังท้อแท้และสิ้นหวัง หรือหมดกำลังใจแล้ว ลองมาดูเรื่องราวของ "นิค วูจิซิค" หนุ่มพิการชาวออสซี่คนนี้ดูสิคะ แล้วคุณจะรู้ว่า ยังมีคนอีกมากที่ลำบากกว่าเรา

         "นิค วูจิซิค" (Nick Vujicic) หนุ่มออสเตรเลีย วัย 26 ปี เกิดมาเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2525 . . . "นิค" เกิดมาไม่ได้สมประกอบเหมือนคนอื่น เขาไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีแต่ขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งโผล่ออกมาสองนิ้วเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้ ปล่อยให้ชีวิตเดินไปตามโชคชะตา และไม่พร่ำบ่นถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขา 

         "นิค" เป็นคนมองโลกในแง่ดี เขาคิดเสมอว่า ความบกพร่องทางร่างกายของเขา คือการทดลองที่พระเจ้ามอบให้ แม้ว่าคนในครอบครัวของเขาต่างเสียใจที่ "นิค" เกิดมาด้วยสภาพนี้ แต่ "นิค" กลับทำให้ทุกคนได้เห็นว่า เขาเป็นเหมือนคนปกติ มีร่างกายแข็งแรง เพียงแต่ไม่มีแขนและขาเท่านั้น



         "นิค" บอกพ่อแม่ว่า เขาอยากใช้ชีวิตตามปกติ และไม่ต้องการให้ใครมาดูแลเป็นพิเศษ นั่นทำให้ "นิค" ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาๆ ทั่วไป  "นิค" สามารถต่อสู้กับกฎหมายที่ระบุไว้ว่า ห้ามคนพิการเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นนำ_ ได้สำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นคนพิการรุ่นแรกๆ ที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนระดับแถวหน้า แม้เขาจะต้องเผชิญกับ "สายตา" ของคนอื่นที่มองมา และสื่อให้เห็นว่าเขาเป็นคนแปลกแยก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ "นิค" ท้อถอยแต่อย่างใด เพราะได้รับกำลังใจที่ดีจากครอบครัว ที่คอยกระตุ้นให้เขารู้สึกดี และเข้มแข็งขึ้นนั่นเอง

         ในที่สุด "นิค" ก็ฝ่าฟันอุปสรรคก้าวแรกไปได้อย่างสวยงาม เขาสำเร็จการศึกษา คว้าปริญญาตรีด้านการค้า เอกการวางแผนด้านการเงินและบัญชี มาได้สำเร็จ และเป็นการลบคำสบประมาทของใครหลายๆ คน ที่มองว่า "นิค" ไม่น่าจะทำได้ "นิค" รู้ดีว่า ความสำเร็จของเขาเกิดขึ้นได้ เพราะมีกำลังใจที่ดี และไม่ท้อแท้ นั่นทำให้ "นิค" มีความปรารถนาที่จะแบ่งปันและส่งต่อกำลังใจเหล่านั้น ให้กับเพื่อนมนุษย์ที่กำลังท้อแท้ สิ้นหวัง อย่างที่เขาเคยประสบมาก่อน



         ด้วยเหตุนี้ทำให้ "นิค" ได้เดินทางไปบรรยายสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก เขาพยายามปลุกให้ทุกคนลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีกครั้งหนึ่ง โดย "นิค" มักพูดเสมอว่า หากวันหนึ่งใครก็ตามที่ล้มและไม่มีกำลังจะลุกขึ้น ไม่มีความหวังเกิดขึ้นอีกแล้ว ขอให้หันกลับมามองชีวิตของเขาที่ไม่มีแขน ไม่มีขา ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคิดว่าเขาจะลุกขึ้นมาได้ แต่เขาก็พยายามที่จะลุกขึ้นมา ครั้งแรก ครั้งที่สองสาม … หรือแม้จะเป็นครั้งที่ร้อย ครั้งที่พันเขาจะลุกไม่ได้ แต่หลังจากที่เขาพยายามทำและไม่ท้อแท้ ทำให้ ณ วันนี้เขาสามารถลุกเดินได้สำเร็จ



         "ถ้าผมล้ม…แล้วยอมแพ้ คุณคิดว่าผมจะลุกขึ้นอีกได้ไหม" เป็นคำถามที่ "นิค" ถามกับทุกคน ซึ่งแน่นอนว่า คำตอบคือ "ไม่" แต่วันนี้ "นิค" สามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า ความพยายามและไม่ยอมแพ้ของเขา ทำให้เขาประสบความสำเร็จ ทั้งนี้นิคได้บอกทุกคนว่า หากเราเจออุปสรรคร้ายแรง แล้วเราสามารถลุกขึ้นมาได้ เราจะผ่านมันไปได้อย่างเข้มแข็ง ขอเพียงแค่ให้กำลังใจกับตัวเองเท่านั้น อย่างเช่นที่เขาพยายามทำอยู่ในทุกๆ วัน
อาซ้อผู้ที่ไม่ยอมจับกะลาเเล้วออกหาขอเศษเงินใคร







เเม้ร่างกายพิการก็ไม่เป็นอุปสรรค..หากมีความพากเพียร
ความพิการหาได้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตพวกเขาไม่ ตรงข้ามกลับเป็นแรงขับให้พวกเขามีชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าอย่างมีศักดิ์ศรี และไม่เป็นภาระของสังคม อย่างเช่น "นุ้ย" ธนารี ฟุ้งภิญโญภาพ อายุ 29 ปี บัณฑิตพิการแขน-ขา  ที่ใช้เวลาเรียนที่นิเทศศาสตร์ มสธ.เพียง 3 ปีครึ่ง ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.43

          
                
                         สามเกลอ สด เยล จอย

            เมื่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้โอกาสให้คนพิการสามารถเข้าเรียนกับคนปกติดได้ สด ซึ่งเป็นผู้ใหญ่และมีความมั่นใจที่สุดในกลุ่มจึงเป็นคนแรกไม่ยอมพลาดที่จะคว้าโอกาสนี้เอาไว้  แต่การที่คนพิการจะสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ทั้งสามต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะสอบเข้าให้ได้  แต่เงื่อนไขไม่ได้แค่นั้นถึงแม้พวกเขาจะสอบเข้าได้แล้ว แต่การที่จะต้องเดินออกมาจากโรงเรียนสอนคนพิการศรีสังวาลย์ ที่สภาพแวดล้อมทุกสิ่งมีไว้ให้กับคนพิการ  มาสู่โลกภายนอกที่ทุกสิ่งไม่ได้อำนวย  โลกที่ไม่ได้มีอะไรพร้อมสำหรับคนส่วนน้อยอย่างพวกเขาทั้งสามนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย  

            ดังนั้น สด ที่เป็นคนที่มีความมั่นใจมากที่สุดจึงเลือกที่จะเป็นคนแรกที่จะออกมาใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติในโลกภายนอก เพื่อพิสูจน์ให้เพื่อนอีกสองคนเห็นว่าสามารถทำได้  "ถึงแม้ผมจะเป็นคนพิการ แต่ผมก็เป็นคน ๆ หนึ่งในสังคม  อย่ามองคนแค่เพียงเปลือกกายภายนอก" นี่คือคำพูดอันมุ่งมันของสดที่อยากจะแสดงให้โลกเห็น ซึ่งกว่าจะทำได้ก็ต้องก้าวผ่านอุปสรรคอย่างมากมาย   อุปสรรคแรกที่ต้องฝ่าไปให้พ้นก็คือการที่จะสื่อสารกับคนภายนอก "หิวข้าว... อยากไปซื้อกับข้าวยังไม่กล้า อายที่พูดไม่ชัด เขาจะฟังรู้เรื่องไหม เข้าใจที่เราพูดรึเปล่า มองเราเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า"  แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้กิน  ดังนั้นสดจึงรวบรวมความกล้าเป็นอย่างมากกว่าจะกล้าที่จะออกไปเผชิญกับมัน  ในการออกไปซื้อข้าวกินเองเป็นครั้งแรก
             เมื่อมั่นใจว่าสามารถอยู่รอดได้  สด จึงชักชวนเพื่อนอีกสองคนให้มาอยู่ด้วย  แต่ก็ต้องเผชิญกับคำถามจากคนรอบข้างว่าเอาไปแล้วจะดูแลรับผิดชอบเขาไหวไหม คำตอบของสดที่ให้ก็ได้แทงเข้าไปถึงหัวใจของคนที่ถามว่า  " ผมดู..แลเขาสองคน...ไม่ไหวหรอก เขาสองคนจะต้องดูแลตัวเองต่างหาก  ถ้าทั้งสอง...ไม่ดูแลตัวเอง...แล้วใครจะเป็นคนดูแล...เขาไปได้ตลอดชีวิต" ซึ่งชีวิตในตอนแรกๆ ของการออกมาผจญภัยในโลกภายนอกของทั้งสองนั้นไม่ง่ายเลย  แต่ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นและความอดทนจึงทำให้สามารถผ่านมันมาได้  โดยที่สด คอยเป็นพี่เลี้ยงและให้กำลังใจเพื่อนทั้งสองอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด

              โดยเฉพาะเยล มีความพิการมากที่สุด  ซึ่งนอกจากจะเป็นโรคกล้ามเนื้อเกร็ง แล้วขายังเดินไม่สะดวกต้องใช้รถเข็นช่วยในการเดินตลอดแถมแขนข้างซ้ายยังลีบ ทำให้ใช้แขนขวาได้ข้างเดียว  สิ่งที่เราสามารถทำได้เป็นเพียงเรื่องง่าย ๆ เช่นการเดิน การกินข้าว เยลต้องใช้ความพยายามมากกว่าเราเป็นสิบเท่า เรื่องง่ายๆ ของเราอย่างกินข้าวนั้น  เพราะว่าเยลสามารถบังคับร่างกายได้น้อยมากกว่าจะเกร็งกล้ามเนื้อ
จับช้อนใหมมั่นเพื่อไม่ให้ข้าวหก  กว่าจะกินข้าวจนหมด ยังต้องใช้เวลาเกือบ 30 นาทียิ่งเรื่องการเดินไม่ต้องพูดถึง กว่าจะเดินได้แค่ระยะทาง 500 เมตรยังต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง  "หัดบ่อย...ใช้บ่อย...มันก็...ปกติ" คำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของเยล   ส่วนจอย เนื่องจากเป็นคนตัวเล็ก แถมเป็นโรคหัวใจรั่วทำให้เหนื่อยง่าย  การจะใช้สิ่งของต่าง ๆ ที่ออกแบบมาสำหรับคนปกติ จึงทำให้เธอมีความยากลำบากในการใช้อยู่มาก แต่ด้วยความมุมานะ อดทน  ทำให้ทั้งสอง ผ่านบททดสอบในการใช้ชีวิตกับโลกภายนอกได้

             ทั้งสามคนต้องอาศัยหัวใจที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น กล้าหาญเป็นอยางมากในการที่จะก้าวผ่านอุปสรรคต่างในโลกที่ทุกสิ่งไม่ได้เป็นเรื่องง่าย โลกที่แม้แต่คนปกติอย่างเรายังต้องอาศัยความพยายามเป็นอย่างมากในการอยู่รอด จนแม้บางคนอาจยังยอมแพ้เลยด้วยซ้ำ เรื่องราวของพวกเขาทั้งสามคนนั้นทำให้ผมคิดได้ว่า  คนเราแม้ไม่อาจที่จะเลือกเกิดได้  แต่เลือกที่จะเป็นได้  พวกเค้าไม่สามารถเลือกได้ที่จะเกิดเป็นนคนปกติอย่างเราได้  แต่ความพิการก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับพวกเขาที่จะทำในสิ่งที่ฝันได้หากมีใจที่มุ่งมั่น  "ทีแรกหนูเข้าใจว่าตัวเราเองเป็นผู้พิการ แต่พอออกมาแล้วถึงรู้สึกว่าตัวเราไม่ได้พิการเลย แต่สังคมภายนอกต่างหากที่พิการ" คำพูดของจอยทำให้ผมได้กลับมาสำนึกว่าแท้จริงแล้ว  ในการใช้ชีวิตของเรานั้นบางทีเราอาจหลงลืมอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า เราเร่งรีบในการหากิน แข่งขัน แก่งแย่ง จนลืมมองคนอีกส่วนของสังคมไปหรือเปล่า บางที่เราอาจต้องย้อนกลับมาดูตัวเราเอง

                 เมื่อได้ดูเรื่องราวของน้องๆ ทั้งสามแล้วก็ทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ถ้าคำว่าพิการมีความหมายว่าทำไม่ได้ เราเองนั่นแหละที่พิการ เพราะเราต่างหากที่
สู้น้องๆ ทั้งสามคนไม่ได้เลยทั้งกำลังใจ และความทุ่มเทพยายามที่น้องๆ ทั้งสามมี ดังนั้นจึงได้ใช้น้องๆ เป็นกำลังใจในยามที่ตัวเองรู้สึกเหนือย และท้อแท้  ว่าเรื่องราวที่ว่ายากลำบากของเรานั้น ถ้าเทียบกับความยากลำบากที่น้องๆ ทั้งสามเผชิญกับมันอยู่ทุกวันนั้นมันช่างน้อยเหลือเกิน  ภาพของเยลที่กว่าจะกินข้าวซักจากได้หมด  กว่าจะไขกุญแจห้องออกมาได้ก็ต้องเสียบรูกุญแจตั้งหลายครั้งใช้เวลาเกือบยี่สิบนาที 
               เราซึ่งมีโอกาสดีในชีวิตแล้วที่เกิดมาเป็นคนปกติ ก็ต้องพยายามที่จะทำความฝันของเราให้ได้เช่นกัน  ผมหวังว่าเรื่องราวของน้องๆ ทั้งสามที่ผมได้ถ่ายทอดออกมานี้มันอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนที่กำลังท้อแท้ ให้ลุกขึ้นมาใหม่ได้     
พี่คนนี้คนไทยต้องรู้จักบ้าง          
ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อ สมศักดิ์ เหมรัญ มาก่อนว่าเป็นใคร มาจากไหน จนเมื่อชายหนุ่มวัย 29 ปี ชาวสงขลาคนนี้ เดินขึ้นเวทีไปโชว์ความสามารถทางด้านดนตรี ด้วยการร้องเพลงเล่นกีตาร์สำเนียงแปลกๆ แต่ไพเราะ สะกดหัวใจคนนับล้านทั่วประเทศ ผ่านรายการ “Thailand’s Got Talent พรสวรรค์ บันดาลชีวิต”
จากนั้นชื่อของ สมศักดิ์ เหมรัญ ชายพิการแขนลีบ ที่ใช้แขนเพียงข้างเดียวเล่นกีตาร์และร้องเพลงไปด้วย โด่งดังไปทั่วประเทศชั่วข้ามคืน
ภาพใบหน้าเปี่ยมด้วยความสุข แววตามุ่งมั่น และความสามารถในเชิงดนตรี ตลอดจนเสียงเงียบกริบของคนดูในชั่วขณะ ก่อนจะระเบิดเสียงปรบมือดังลั่นทั่วฮอลล์ ถูกถ่ายทอดลงเป็นคลิปวิดีโอบนโลกไซเบอร์ ยอดผู้ชมทะลุเป็นหลักแสนไปเพียงชั่วข้ามคืน

นี่คือชายพิการผู้เอาชนะขีดความสามารถทางด้านร่างกาย เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธาในหัวใจที่ไม่เคยยอมแพ้
ทันทีที่เพลง “ศรัทธา” ของวงหิน เหล็ก ไฟ ถูกบรรเลงผ่านนิ้วไม่กี่นิ้วบนแขนข้างเดียวของชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา น้ำเสียงก็ไม่ได้วิเศษเลิศเลอกว่านักร้องทั่วไป แต่กลับสะกดใจคณะกรรมการ และผู้ชมทั้งฮอลล์ รวมทั้งสายตานับล้านๆ คู่ทั่วประเทศ จากเสียงเงียบงันด้วยความตกตะลึง กลายเป็นเสียงร้องคลอตามให้กำลังใจ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการยืนลุกขึ้นปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว

“ผมดีใจมากๆ ครับ ภูมิใจที่สุด วันนี้ผมไม่ได้แค่มาแสดงความสามารถ แต่ผมมาเพื่อให้กำลังใจคนอื่นด้วย”

สมศักดิ์ เหมรัญ เป็นชาว จ.สงขลา วัย 29 ปี ผู้สมัครเบอร์ 142912 ผ่านเข้ารอบไปอย่างสวยสดงดงาม นับเป็นการประเดิมเทปแรกของรายการไทยแลนด์ก๊อตทาเลนต์ รอบคัดเลือกโซนภาคใต้ ที่เรียกเรตติ้งคนดูได้พุ่งกระฉูดจริงๆ

หลังเสร็จสิ้นการออกอากาศในคืนนั้น ชีวิตของหนุ่มปักษ์ใต้หัวใจนักสู้รายนี้ก็เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน คลิปวิดีโอสั้นๆ ไม่กี่นาทีถูกถ่ายทอดลงบนเว็บไซต์ต่างๆ มีผู้คลิกเข้าไปชมเป็นแสนครั้ง จนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์

เขาเป็นคนสงขลาโดยกำเนิด เติบโตมาในครอบครัวมุสลิม ประกอบอาชีพทำสวนยาง ฐานะพออยู่พอกิน เป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้อง 3 คน เส้นทางชีวิตก็เป็นไปตามประสาลูกผู้ชายทั่วไป เรียนหนังสือ เล่นกีฬา จีบสาว เฮฮากับเพื่อนฝูง ด้วยความที่เป็นคนรักเสียงเพลง เขาจึงหัดเล่นและฝึกฝนกีตาร์ จนเริ่มมีฝีไม้ลายมือใช้ได้ ความฝันลึกๆ ในใจของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็คืออยากสอบเข้าวิทยาลัยพละศึกษา ตกกลางคืนก็เล่นดนตรีตามผับหาเลี้ยงชีพ

เเล้วคุณหล่ะที่ร่างกายครบ 32 คงไม่ต้องรอให้ส่วนใดส่วนหนึ่งขาดหายไปก่อนน๊ะ..ถึงจะค่อยลุกขึ้นมาสู้ใหม่.
______________________________________________________________________
ที่มา :
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น